วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

HI

Chat

หาเพื่อนคุยmsn online จาก http://www.siam55.com/radio

การรับรู้ความงามทางศิลปะ



               
          สำหรับการรับรู้ความงามทางศิลปะของมนุษย์นั้น สามารถรับรู้ได้ 2 ทาง คือ
 
  ทางสายตาจากการมองเห็น และทางหูจากการได้ยิน  ซึ่งแบ่งได้ดังนี้

        1 ทัศนศิลป(Visual Art) เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามได้ด้วยสายตา จากการ มองเห็น
  งานศิลปะส่วนใหญ่จะเป็นงานทัศนศิลป์  ทั้งสิ้น ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม
   สถาปัตยกรรม มัณฑณศิลป์ อุตสากรรมศิลป์ พาณิชย์ศิลป์ 

        2 โสตศิลป์ (Audio Art)  เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามได้ด้วยหู จากการฟังเสียง งานศิลปะ
   ที่จัดอยู่ในประเภทโสตศิลป์ ได้แก่  ดนตรี และ วรรณกรรม
       3.โสตทัศฯศิลป(Audiovisual Art) เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามทางศิลปะได้ทั้งสองทาง
   คือจากการมองเห็นและจากการฟัง งานศิลปะประเภทนี้ได้แก่ ศิลปะการแสดงนาฏศิลป์
   การละคร การภาพยนต์

การออกแบบ Design

การออกแบบ  หมายถึง การถ่ายทอดรูปแบบจากความคิดออกมาเป็นผลงาน ที่ผู้อื่น

สามารถมองเห็น รับรู้ หรือสัมผัสได้  เพื่อให้มีความเข้าใจในผลงานร่วมกัน
        ความสำคัญของการออกแบบ มีอยู่หลายประการ กล่าวคือ
1.ในแง่ของการวางแผนการการทำงาน งานออกแบบจะช่วยให้การทำงานเป็นไปตาม
   ขั้นตอน อย่างเหมาะสม และประหยัดเวลา ดังนั้นอาจถือว่าการออกแบบ คือ การวาง
   แผนการทำงานก็ได้
2. ในแง่ของการนำเสนอผลงาน ผลงานออกแบบจะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องมีความเข้าใจ
    ตรงกันอย่างชัดเจน  ดังนั้น ความสำคัญในด้านนี้ คือ เป็นสื่อความหมายเพื่อความเข้าใจ
    ระหว่างกัน
3. เป็นสิ่งที่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับงาน งานบางประเภทอาจมีรายละเอียดมากมาย
   ซับซ้อน ผลงานออกแบบจะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้อง และผู้พบเห็นมีความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น
   หรืออาจกล่าวได้ว่า ผลงานออกแบบ คือ ตัวแทนความคิดของผูออกแบบได้ทั้งหมด
4. แบบ จะมีความสำคัญอย่างที่สุด ในกรณีที่ นักออกแบบกับผู้สร้างงานหรือผู้ผลิต
    เป็นคนละคนกัน เช่น สถาปนิกกับช่างก่อสร้าง  นักออกแบบกับผู้ผลิตในโรงงาน
    หรือถ้าจะเปรียบไปแล้ว นักออกแบบก็เหมือนกับคนเขียนบทละครนั่นเอง

แบบ 
เป็นผลงานจากการออกแบบ เป็นสิ่งที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และฝีมือของ

นักออกแบบ แบบมีอยู่หลายลักษณะ ดังนี้ คือ
        1. เป็นภาพวาดลายเส้น (drawing) ภาพระบายสี (Painting) ภาพถ่าย (Pictures)
หรือแบบร่าง (Sketch) แบบที่มีรายละเอียด (Draft) เช่น แบบก่อสร้าง   ภาพพิมพ์
(Printing) ฯลฯ ภาพต่าง ๆ ใช้แสดงรูปลักษณะของงาน หรือแสดงรายละเอียดต่าง ๆ
เกี่ยวกับงาน ที่เป็น 2 มิติ
        2. เป็นแบบจำลอง (Model) หรือของจริง เป็นแบบอีกประเภทหนึ่งที่ใช้แสดง
รายละเอียดของงานได้ชัดเจนกว่าภาพต่าง ๆ เนื่องจากมีลักษณะเป็น 3 มิติ ทำให้
สามารถเข้าใจในผลงานได้ดีกว่า นอกจากนี้ แบบจำลองบางประเภทยังใช้งานได้
เหมือนของจริงอีกด้วยจึงสมารถใช้ในการทดลอง และทดสอบการทำงาน เพื่อหา
ข้อบกพร่องได้
ประเภทของการออกแบบ
1. การออกแบบทางสถาปัตยกรรม (Architecture Design) เป็นการออกแบบเพื่อ
การก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นักออกแบบสาขานี้ เรียกว่า สถาปนิก (Architect) ซึ่ง
โดยทั่วไปจะต้องทำงานร่วมกับ วิศวกรและมัณฑนากร โดยสถาปนิก รับผิดชอบเกี่ยว
กับประโยชน์ใช้สอยและความงามของสิ่งก่อสร้าง งานทางสถาปัยตกรรมได้แก่
- สถาปัตยกรรมทั่วไป เป็นการออกแบบสิ่งก่อสร้างทั่วไป เช่น อาคาร บ้านเรือน ร้านค้า  โบสถ์  วิหาร  ฯลฯ
- สถาปัตยกรรมโครงสร้าง เป็นการออกแบบเฉพาะโครงสร้างหลักของอาคาร
- สถาปัตยกรรมภายใน  เป็นการออกแบบที่ต่อเนื่องจากงานโครงสร้าง ที่เป็นส่วนประกอบของอาคาร
- งานออกแบบภูมิทัศน์ เป็นการออกแบบที่มีบริเวณกว้างขวาง  เป็นการจัดบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ
   เพื่อให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยและความสวยงาม
- งานออกแบบผังเมือง เป็นการออกแบบที่มีขนาดใหญ่ และมีองค์ประกอบซับซ้อน ซึ่งประกอบ
   ไปด้วยกลุ่มอาคารจำนวนมาก ระบบภูมิทัศน์ ระบบสาธารณูปโภค ฯลฯ
2. การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) เป็นการออกแบบเพื่อการผลิต ผลิตภัณฑ์
ชนิดต่าง ๆงานออกแบบสาขานี้ มีขอบเขตกว้างขวางมากที่สุด และแบ่งออกได้มากมาย
หลาย ๆ ลักษณะ นักออกแบบรับผิดชอบเกี่ยวกับประโยชน์ใช้สอยและความสวยงามของ
ผลิตภัณฑ์  งานออกแบบประเภทนี้ได้แก่
- งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์
- งานออกแบบครุภัณฑ์
- งานออกแบบเครื่องสุขภัณฑ์
- งานออกแบบเครื่องใช้สอยต่างๆ
- งานออกแบบเครื่องประดับ  อัญมณี
- งานออกแบบเครื่องแต่งกาย
- งานออกแบบภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์
- งานออกแบบผลิตเครื่องมือต่าง ๆ   ฯลฯ
3. การออกแบบทางวิศวกรรม (Engineering Design) เป็นการออกแบบเพื่อการผลิต
ผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่นเดียวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกัน ต้องใช้
ความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีในการผลิตสูง ผู้ออกแบบคือ วิศวกร ซึ่งจะรับผิดชอบ
ในเรื่องของประโยชน์ใช้สอย ความปลอดภัยและ กรรมวิธีในการผลิต  บางอย่างต้องทำงาน
ร่วมกันกับนักออกแบบสาขาต่าง ๆ ด้วย งานอกแบบประเภทนี้ได้แก่
- งานออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้า
- งานออกแบบเครื่องยนต์
- งานออกแบบเครื่องจักรกล
- งานออกแบบเครื่องมือสื่อสาร
- งานออกแบบอุปกณ์อิเลคทรอนิคส์ต่าง ๆ   ฯลฯ


4. การออกแบบตกแต่ง (Decorative Design) เป็นการออกแบบเพื่อการตกแต่งสิ่งต่าง ๆ
ให้สวยงามและเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น นักออกแบบเรียนว่า มัณฑนากร

(Decorator) ซึ่งมักทำงานร่วมกับสถาปนิก งานออกแบบประเภทนี้ได้แก่
- งานตกแต่งภายใน (Interior Design)
- งานตกแต่งภายนอก  (Exterior Design)
- งานจัดสวนและบริเวณ ( Landscape Design)
- งานตกแต่งมุมแสดงสินค้า (Display)
- การจัดนิทรรศการ (Exhibition)
- การจัดบอร์ด
- การตกแต่งบนผิวหน้าของสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น  ฯลฯ

5. การออกแบบสิ่งพิมพ(Graphic Design) เป็นการออกแบบเพื่อทางผลิตงานสิ่งพิมพ์

ชนิดต่าง ๆ ได้แก่ หนังสือ  หนังสือพิมพ์  โปสเตอร์  นามบัตร  บัตรต่าง ๆ  งานพิมพ์ลวดลายผ้า
งานพิมพ์ภาพลงบนสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ  งานออกแบบรูปสัญลักษณ์   เครื่องหมายการค้า  ฯลฯ

พาณิชย์ศิลป์ Commercial Art

เป็นงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเพื่อสนับสนุนกิจการค้า และการบริการ เพื่อให้ประสบผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย
ได้แก่  การออกแบบเครื่องหมายการค้า การออกแบบสิ่งพิมพ์  การออกแบบโฆษณา  การออกแบบฉลากสินค้า 
การออกแบบจัดแสดงสินค้า  ฯลฯ ผู้สร้างสรรค์งาน เรียนกว่า นักออกแบบ (Designer)

อุตสาหกรรมศิลป์ Industrial Art

เป็นงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเพื่อการผลิต ผลิตภัณฑ์ (Product)
สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้สวยงามและเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น
ด้วยวิธีการในระบบอุตสาหกรรม ซึ่งมีการทำงานเป็นระบบ      เป็นขั้นตอน 
มีมาตรฐาน   มีการใช้เครื่องจักรกลเข้าช่วย ทำให้ต้นทุนต่ำ   ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
ได้แก่
  เครื่องยนต์    เครื่องจักรกล    เครื่องใช้ไฟฟ้า     เครื่องอิเลคโทรนิค 
เฟอร์นิเจอร์    สุขภัณฑ์   ครุภัณฑ์    เสื้อผ้า    เครื่องประดับ  เครื่องแต่งกาย
เครื่องอุปโภค บริโภคต่าง ๆ  ตลอดจนถึงภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ด้วย    
ผู้สร้างสรรค์งาน เรียกว่า นักออกแบบ (Designer)
 

มัณฑนศิลป์ Decorative Art


      
    
เป็นงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบเพื่อการตกแต่ง สิ่งต่าง ๆ ให้เกิดความสวยงามและเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น
ได้แก่ การจัดตกแต่งภายในบ้าน อาคาร สถานที่ต่าง ๆ   การตกแต่งภายนอก  การจัดสวน  การจัดนิทรรศการ  การจัดบอร์ด ป้ายนิเทศ
  การจัดแสดงสินค้า  การแต่งกาย  การแต่งหน้า การตกแต่งร้านค้า เป็นต้น  ผู้สร้างสรรค์งาน เรียนว่า  มัณฑนากร
(Decorator)


การพิมพ์ภาพ ( PRINTING )

การพิมพ์ภาพ  หมายถึง   การถ่ายทอดรูปแบบจากแม่พิมพ์ออกมาเป็นผลงานที่มีลักษณะ

เหมือนกันกับแม่พิมพ์ทุกประการ  และได้ภาพที่เหมือนกันมีจำนวนตั้งแต่  2  ชิ้นขึ้นไป
             การพิมพ์ภาพเป็นงานที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากการวาดภาพ  ซึ่งการวาดภาพไม่สามารถ
สร้างผลงาน  2   ชิ้น    ที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการได้     จึงมีการพัฒนาการพิมพ์ขึ้นมา
ชาติจีน   ถือว่าเป็นชาติแรกที่นำเอาวิธีการพิมพ์มาใช้อย่างแพร่หลายมานานนับพันปี   จากนั้น
จึงได้แพร่หลายออกไปในภูมิภาคต่างๆของโลก  ชนชาติทางตะวันตกได้พัฒนาการพิมพ์ภาพ
ขึ้นมาอย่างมากมาย  มีการนำเอาเครื่องจักรกลต่างๆเข้ามาใช้ในการพิมพ์  ทำให้การพิมพ์มีการ
พัฒนาไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
            การพิมพ์ภาพมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้
1.  แม่พิมพ์  เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพิมพ์
2.  วัสดุที่ใช้พิมพ์ลงไป
3.  สีที่ใช้ในการพิมพ์
4.  ผู้พิมพ์
  การพิมพ์ภาพมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้1.  แม่พิมพ์  เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพิมพ์
2.  วัสดุที่ใช้พิมพ์ลงไป
3.  สีที่ใช้ในการพิมพ์
4.  ผู้พิมพ์
      ผลงานที่ได้จากการพิมพ์  มี  2  ชนิด คือ
 1.  ภาพพิมพ์   เป็นผลงานพิมพ์ที่เป็นภาพต่างๆ  เพื่อความสวยงามหรือบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ
      อาจมีข้อความ  ตัวอักษรหรือตัวเลขประกอบหรือไม่มีก็ได้
2.  สิ่งพิมพ์  เป็นผลงานพิมพ์ที่ใช้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เป็นตัวอักษร  ข้อความ ตัวเลข  อาจมี
     ภาพประกอบหรือไม่มีก็ได้
     ประเภทของการพิมพ์   การพิมพ์แบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะต่าง  ดังนี้
1.  แบ่งตามจุดมุ่งหมายในการ พิมพ์  ได้  2  ประเภท  คือ
        1.1  ศิลปภาพพิมพ์   (  GRAPHIC   ART  )  เป็นงานพิมพ์ภาพเพื่อให้เกิดความสวยงามเป็น
               งานวิจิตรศิลป์
        1.2  ออกแบบภาพพิมพ์   ( GRAPHIC  DESIGN  ) เป็นงานพิมพ์ภาพประโยชน์ใช้สอยนอก
               เหนือไปจากความสวยงาม ได้แก่  หนังสือต่างๆ   บัตรต่างๆ  ภาพโฆษณา  ปฏิทิน  ฯลฯ
              จัดเป็นงาน ประยุกต์ศิลป์
2.  แบ่งตามกรรมวิธีในการพิมพ์  ได้  2  ประเภท  คือ
         2.1  ภาพพิมพ์ต้นแบบ  ( ORIGINAL   PRINT ) เป็นผลงานพิมพ์ที่สร้างจากแม่พิมพ์และวิธี
                 การพิมพ์ที่ถูก สร้างสรรค์และกำหนดขึ้นโดยศิลปินเจ้าของผลงาน  และเจ้าของผลงาน
                 จะต้องลงนามรับรองผลงานทุกชิ้น  บอกลำดับที่ในการพิมพ์  เทคนิคการพิมพ์   และ วัน
                เดือน   ปี  ที่พิมพ์ด้วย
        2.2  ภาพพิมพ์จำลองแบบ   (  REPRODUCTIVE   PRINT  ) เป็นผลงานพิมพ์ที่สร้างจากแม่พิมพ์
               หรือวิธี การพิมพ์วิธีอื่น  ซึ่งไม่ใช่วิธีการเดิมแต่ได้รูปแบบเหมือนเดิม  บางกรณีอาจเป็นการ
               ละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น
3.  แบ่งตามจำนวนครั้งที่พิมพ์  ได้  2  ประเภท  คือ
     3.1  ภาพพิมพ์ถาวร  เป็นภาพพิมพ์ที่พิมพ์ออกมาจากแม่พิมพ์ใดๆ  ที่ได้ผลงานออกมามีลักษณะ
            เหมือนกันทุกประการ  ตั้งแต่  2  ชิ้นขึ้นไป
     3.2  ภาพพิมพ์ครั้งเดียว  เป็นภาพพิมพ์ที่พิมพ์ออกมาได้ผลงานเพียงภาพเดียว  ถ้าพิมพ์อีกจะ
           ได้ผลงานที่ไม่เหมือนเดิม

             ออสการ์, 1908  Lithograph                                              อันโดะ  ฮิโรชิเงะ, 1840    Wood-cut                                   ออกุสต์    เรอนัวร์, 1897 Lithograph

4.  แบ่งตามประเภทของแม่พิมพ์  ได้  4  ประเภท  คือ
    4.1  แม่พิมพ์นูน  ( RELIEF   PROCESS  ) เป็นการพิมพ์โดยให้สีติดอยู่บนผิวหน้าที่ทำให้นูน         ขึ้นมาของแม่พิมพ์   ภาพที่ได้เกิดจากสีที่ติดอยู่ในส่วนบนนั้น      แม่พิมพ์นูนเป็นแม่พิมพ์
        ที่ทำขึ้นมาเป็นประเภทแรก   ภาพพิมพ์ชนิดนี้ได้แก่  ภาพพิมพ์แกะไม้ ( WOOD-CUT )
    ภาพพิมพ์แกะยาง ( LINO-CUT )  ตรายาง ( RUBBER  STAMP ) ภาพพิมพ์จากเศษวัสดุต่างๆ
     4.2  แม่พิมพ์ร่องลึก  ( INTAGLIO  PROCESS ) เป็นการพิมพ์โดยให้สีอยู่ในร่องที่ทำให้ลึกลง
       ไปของแม่พิมพ์โดยใช้แผ่นโลหะทำเป็นแม่พิมพ์ ( แผ่นโลหะที่นิยมใช้คือแผ่นทองแดง )
    และทำให้ลึกลงไปโดยใช้น้ำกรดกัด ซึ่งเรียกว่า  ETCHING   แม่พิมพ์ร่องลึกนี้พัฒนาขึ้นโดย
       ชาวตะวันตก  สามารถพิมพ์งานที่มีความ  ละเอียด  คมชัดสูง  สมัยก่อนใช้ในการพิมพ์ หนังสือ
       พระคัมภีร์  แผนที่  เอกสารต่างๆ  แสตมป์  ธนบัตร  ปัจจุบันใช้ในการพิมพ์งานที่เป็นศิลปะ
       และธนบัตร

     4.3  แม่พิมพ์พื้นราบ  ( PLANER   PROCESS  )    เป็นการพิมพ์โดยให้สีติดอยู่บนผิวหน้า
          ที่ราบเรียบของแม่พิมพ์ โดยไม่ต้องขุดหรือแกะพื้นผิวลงไป แต่ใช้สารเคมีเข้าช่วย  ภาพพิมพ์
         ชนิดนี้ได้แก่   ภาพพิมพ์หิน  ( LITHOGRAPH )  การพิมพ์ออฟเซท ( OFFSET )  ภาพพิมพ์กระดาษ
                  ( PAPER-CUT )  ภาพพิมพ์ครั้งเดียว  ( MONOPRINT )
     4.4  แม่พิมพ์ฉลุ  ( STENCIL  PROCESS  ) เป็นการพิมพ์โดยให้สีผ่านทะลุช่องของแม่พิมพ์ลงไป
            สู่ผลงานที่อยู่ด้านหลัง  เป็นการพิมพ์ชนิดเดียวที่ได้รูปที่มีด้านเดียวกันกับแม่พิมพ์  ไม่กลับซ้าย
           เป็นขวา  ภาพพิมพ์ชนิดนี้ได้แก่  ภาพพิมพ์ฉลุ ( STENCIL )  ภาพพิมพ์ตะแกรงไหม ( SILK  SCREEN )
       การพิมพ์อัดสำเนา  ( RONEO )  เป็นต้น 

ดนตรี และนาฏศิลป์ Music & Dramatic Art

 เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้เสียง การจัดจังหวะ และท่วงทำนองของเสียง

ด้วยการเล่นดนตรี และการขับร้องเพลง ที่มีผลต่ออารมณ์และจิตใจของมนุษย์ รวมถึงการใช้
ท่าทางประกอบเสียง การเต้น ระบำ รำ ฟ้อน การแสดงละคร ฯลฯ  ผู้สร้างสรรค์งาน เรียกว่า
นักดนตรี (Musician) นักร้อง (Singer) หรือ นักแสดง (Actor / Actress)



วรรณกรรม (Literature)

เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการใช้ภาษา เพื่อการสื่อสารเรื่องราวให้เข้าใจ
ระหว่างมนุษย์   ภาษาเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดค้น และสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อใช้สื่อความหมาย
เรื่องราวต่าง ๆ ภาษาที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารได้แก่
        1. ภาษาพูด  โดยการใช้เสียง
        2. ภาษาเขียน โดยการใช้ตัวอักษร  ตัวเลข  สัญลักษณ์ และภาพ
        3. ภาษาท่าทาง โดยการใช้กิริยาท่าทาง หรือประกอบวัสดุอย่างอื่น
        ความงามหรือศิลปะในการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับ การใช้ภาษาให้ถูกต้อง  ชัดเจน และ
เหมาะสมกับเวลา โอกาส และบุคคล นอกจากนี้ ภาษาแต่ละภาษายังสามารถปรุงแต่ง
ให้เกิดความเหมาะสม ไพเราะ สวยงามได้  ชาติไทย เป็นชาติที่มีอารยะธรรมเก่าแก่ มี
ภาษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน นอกจากนี้ ยังมี
ความคิดสร้างสรรค์ในการใช้ภาษาได้อย่างไพเราะ ถือเป็นความงามของการใช้ภาษา
จากการแต่งโคลง กลอน คำประพันธ์ ร้อยแก้วต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีการบัญญัติคำ
ราชาศัพท์  คำสุภาพ ขึ้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสม แสดงให้เห็นวัฒนธรรมที่เป็นเลิศทาง
การใช้ภาษาที่ควรดำรง และยึดถือต่อไป  ผู้สร้างสรรค์งานวรรณกรรม เรียกว่า นักเขียน
นักประพันธ์ หรือ กวี (Writer or Poet)
    วรรณกรรมไทย แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ
    1. ร้อยแก้ว  เป็นข้อความเรียงที่แสดงเนื้อหา เรื่องราวต่าง ๆ
    2. ร้อยกรอง  เป็นข้อความที่มีการใช้คำที่สัมผัส คล้องจอง ทำให้สัมผัสได้ถึงความ
งานมของภาษาไทย ร้อยกรองมีหลายแบบ คือ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย

สถาปัตยกรรม (Architecture)



      เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการก่อสร้างสิ่งก่อสร้าง อาคาร ที่อยู่อาศัยต่าง ๆ การวางผังเมือง   การจัดผังบริเวณ
  การตกแต่งอาคาร การออกแบบก่อสร้าง ซึ่งเป็นงานศิลปะ
ที่มีขนาดใหญ่ต้องใช้ผู้สร้างงานจำนวนมาก และเป็นงานศิลปะ
ที่มีอายุยืนยาว สถาปัตยกรรม
เป็นวิธีการจัดสรรบริเวณที่ว่างให้เกิดประโยชน์ใช้สอยตามความต้องการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ เช่น  วิศวกรรมศาสตร์  วิทยาศาสตร์
สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และศิลปะ
ความงดงาม และคุณค่าของสถาปัตยกรรม ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ดังนี้ คือ
            1. การจัดสรรบริเวณที่ว่างให้สัมพันธ์กันของส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
            2. การจัดรูปทรงทางสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย และสิ่งแวดล้อม
            3. การเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกลมกลืน
สถาปัตยกรรมแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ
        1. ชนิดที่สร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์เข้าไปอาศัยอยู่ หรือประกอบกิจกรรมต่าง ๆ เช่น อาคาร  บ้านเรือน โบสถ์  วิหาร ศาลา ฯลฯ
        2. ชนิดที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยอย่างอื่น ๆ เช่น อนุสาวรีย์  เจดีย์  สะพาน  เป็นต้น
ผู้สร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรม เรียนว่า สถาปนิก (Architect)